วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

Smith & Wesson 2007

Clint Smith คือไดเร็คเตอร์ และเจ้าของสถาบันสอนยิงปืนที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี ในหน่วยรบนาวิกโยธิน, ตำรวจ จนมาถึงครูสอนยิงปืนในปัจจุบัน คลิ๊นท์ ก็น่าจะเป็นคนหนึ่งที่พอจะเชื่อได้ในเรื่องปืนสั้นต่อสู้กระมังครับ

ในขณะที่โลกปืนสั้นป้องกันตัวหมุนไปหาปืนออโตลูกดกจนแทบจะไม่มีใครสนใจปืนลูกโม่ คลิ๊นท์กลับมองว่าเจ้าปืนลูกโม่ทรงโบราณนี่แหละเหมาะมากสำหรับการต่อสู้ป้องกันตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทที่มีลำกลัองรูโตๆพ่นหัวกระสุนหนักๆออกไปได้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญต้องขนาดไม่ใหญ่เกิน ไม่หนักเกิน และเรียบง่ายด้วยศูนย์ตายติดโครงปืนไม่ต้องมีศูนย์ปรับได้ให้เกะกะ

ด้วยความคิดออกเสียงดังของคนมีชื่อเสียงอย่างคลิ๊นท์ทำให้บริษัทใหญ่ๆ อย่างสมิทรับฟัง  ปืนกระบอกแรกตามหลักการนี้ก็คือ Smith & Wesson Model 21-4  Thunder Ranch Revolver ขนาด .44 สเปเชี่ยล

Smith & Wesson Model 21 Thunder Ranch Revolver ขนาด .44 สเปเชี่ยล
โมเดิล 21-4 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ในหกเดือนที่เปิดตัวมา Smith ขายปืนรุ่นนี้ได้มากกว่าเป็นสองเท่า Model 21 รุ่นเดิมที่ผลิตขายอยู่16ปีเสียอีก และนั่นก็ทำให้มีปืนกระบอกต่อมาในความคิดเดียวกันก็คือ Smith & Wesson Model 22-4  Thunder Ranch Revolver ขนาด .45 ACP ที่เปิดตัวออกมาในปี 2007
Smith & Wesson Model 22-4  Thunder Ranch Revolver ไม่ใช่การนำปืน 1917 หรือ Model 22 มาผลิตใหม่ซะทีเดียว อย่างแรกก็คือมันมีความยาวลำกล้อง 4นิ้ว และมี ฝักหุ้มก้านคัดปลอก ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนใน Model 22 อีกจุดหนึ่งก็คือใบศูนย์หน้าที่ยึดไว้ด้วยหมุด ทำให้สามารถถอดเปลี่ยนได้ (ศูนย์หน้าเดิมของ Model 22 ยึดติดตายกับลำกล้อง)

แต่ขณะเดียวกัน Model 22-4 ก็นำสองอย่างที่หายไปนานจากปืนลูกโม่ของ Smith & Wesson กลับมา

อย่างที่หนึ่งก็คือ โครงปืนที่เราเรียกกันว่า Square Butt ปืนโครง N รุ่นหลังๆของสมิทได้เปลี่ยนไปใช้ด้ามมน Round Butt กันหมดแล้ว รวมทั้งสมิท เฮอริเทจ ซี่รี่  โมเดล 1917 ที่ผมเขียนไว้ข้างบนด้วย

อย่างที่สองก็คือหมุดยึดเพลตข้างปืนตัวที่ 4 ที่บนสุดด้านขวาของโครงปืน น๊อตตัวนี้ถูกตัดหายไปตั้งแต่การลดต้นทุนในปี 1957 โน่นเลยครับ

Smith & Wesson 2002

อย่างที่ทราบกันครับ ว่าบริษัทสมิท มีแผนกช่างปืนพิเศษที่เรียกกันว่าสมิทเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ ทีมช่างทีมนี้มีหน้าที่ผลิตปืนในลักษณะคัสตอมเมดที่ผสมผสานเทคโนลี่ทางโลหะและเครื่องมือสมัยใหม่เข้ากับงานฝีมือที่เราโหยหา ปืนจากเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ ออกมาสู่ตลาดในจำนวนจำกัด โดยที่เปลี่ยนรุ่นออกไปเรื่อยๆ มีหลายรูปแบบตั้งแต่ปืนที่แต่งออกมาเพื่อการพกซุกซ่อนสำหรับผู้มีรสนิยม ไปจนถึงปืนเพื่อการแข่งขัน

ในปี 2002  ทีมเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ ทำเซอไพรซ์ โดยการนำปืนแห่งตำนานของ สมิทแอนด์เวสสันหลายรุ่นกลับมาสู่สายตาของเราอีกครั้ง ในนามของสมิท เฮอริเทจ ซี่รี่ (Heritage Series) ปืนในชุดนี้มีตั้งแต่ .44 สเปเชี่ยล แฮนด์อีเจ็คเตอร์, .45โคลท์ แฮนด์อีเจ็คเตอร์,  .22 ลองไรเฟิล แฮนด์อีเจ็คเตอร์, โมเดล 1917 กระบอกนี้ ฯ
บอกตรงๆเลยว่าพอเห็นโฆษณาของสมิทในนิตยสารปืนต่างประเทศในครั้งแรกนั้นผมดีใจจนแทบตกเก้าอี้ และเฝ้ารอวันที่ร้านปืนในเมืองไทยจะสั่งปืนชุดนี้เข้ามาให้ยลโฉมกัน  
แรกแกะกล่อง ผมก็ได้สัมผัสกับปืนกระบอกงาม เนื้อเหล็กขัดมันจนเรียบละออตา ผิวของปืนรมดำแบบสมิทไบร์ทบลูที่ไม่พบเห็นกันอีกแล้วในปืนยุคใหม่  ด้ามไม้วอลนัทเนื้องามแกะลายเช็คเกอร์คมและละเอียด รูปร่างของปืนคงสัดส่วนของปืนในยุคของ 1917 ไว้อย่างมีเสน่ห์และแปลกตาไปจากปืนตลาด ดูอะไรๆก็ถูกใจไปเสียหมด เรียกว่ารักแรกพบก็ว่าได้  
ทีมเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ สร้าง โมเดล1917 ขึ้นมาใหม่จากโครงปืนโมเดิล 25 ซึ่งก็คือลูกหลานสายตรงของ โมเดล1917 มันไม่ใช้การก็อบปี๊หรือการทำเลียนแบบ แต่อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่าเป็นการผสมผสานเทคโนโลยี่สมัยใหม่เข้ากับความงามแบบเก่าก่อน ดังนั้น เพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ 1917 จึงต่างจาก โมเดล 1917เดิมอยู่บ้าง

สมิท โมเดล 1917 มาในกล่องกระดาษแบบคลาสสิกดั้งเดิม ข้างในห่อกระดาษน้ำมันมาเช่นเดิม พอแกะห่อกระดาษออกมาก็ต้องตะลึงกับความงามของสัดส่วนและผิวพรรณ (ปืนนะครับ) ผิวโลหะขัดมันราวกับกระจก การรมผิวเป็นแบบไบรทบลูดั้งเดิมของสมิท ภาพเต็มตัวให้เห็นสัดส่วนที่แตกต่างไปจากปืนในตลาดปัจจุบัน

ด้านซ้ายมือตอกตราเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ไว้  จากภาพนี้ดูออกมั๊ยครับว่ามีอะไรแปลกไปจากปืนสมิทรุ่นปัจจุบัน เฉลย โมเดล 1917 กระบอกนี้มีสกรูไซด์เพลทสี่ตัวแทนที่จะเป็นสามตัวเหมือนรุ่นปัจจุบัน สกรูตัวบนของไซด์เพลตนี้หายไปจากปืนสมิทแอนด์เวสสันตั้งแต่ปี 1955 แต่ก็ยังไม่เหมือน 1917 ของเดิมซะทีเดียว เพราะรุ่นเก่านั้นมีสกรูตัวที่ห้าอยู่ที่หน้าโกร่งไกอีกตัวครับ

ลำกล้องห้านิ้วครึ่งทรงเรียวจากโคนไปหาปลาย ด้านซ้ายของลำกล้องสักคำว่า “S&W D.A. .45” เหมือนกับรุ่นเดิม

ลำกล้องหกเกลียวเวียนขวา ขณะที่ปืนรุ่นใหม่ของสมิทส่วนใหญ่ใช้ลำกล้องห้าเกลียว


Smith & Wesson 1952

ในปี 1952 Smith & Wesson ผลิตปืนที่คล้ายกับ 1917 ออกมาอีกครั้งในชื่อ .45 Hand Ejector Model of 1950 สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมีเพียง 3 อย่างคือ ชุดลั่นไกและนกที่มีจังหวะตวัดสั้นลง, กริปที่มีชื่อว่า Magna grip และการหายไปของห่วงคล้องสายที่ด้ามปืน
45 Cal Model of 1950 ที่กลายมาเป็น Model 22 ในเวลาต่อมา
45 CAL Model of 1950  ผลิตจากปี 1952 มาจนถึง 1957 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Model 22 เพราะในช่วงนั้นเป็นครั้งแรกที่ สมิทเรียกชื่อรุ่นปืนทั้งหมดเป็นหมายเลข ผลิต มาจนถึง ปี 1961 ก็ปิดสายการผลิตไป ด้วยจำนวนผลิตเพียง 3,976 กระบอก

Smith & Wesson 1917

สมิท 1917 ที่ผลิตให้กับกองทัพสหรัฐ เป็นปืน ลำกล้อง 5 1/2นิ้ว รมดำในลักษณะเดียวกับปืนพานิช นกและไกชุบแข็งแบบคัลเลอร์เคสฮาร์ดเดน ด้ามเป็นไม้วอลนัทเรียบไม่แกะเช็คเกอร์ ที่ส้นด้ามมีห่วงสำหรับคล้องสาย และที่ส้นด้ามตอกไว้ว่า “US Army/Model/1917”  และด้านข้างของลำกล้องตอกว่า “S&W D.A. 45”

      “S&W D.A. 45








สมิท 1917 ได้ร่วมรบเป็นอาวุธคู่กายของทหารอเมริกันจำนวนไม่น้อยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และทหารส่วนใหญ่กลับอยากจะได้ สมิท 1917 มากกว่า โคล์ท 1911 ออโตเมติก เพราะทหารในยุคนั้นไม่คุ้นเคยกับปืนออโตที่ต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจึงจะทำงานได้ดีในสนามรบ

สมิท โมเดล 1917 เป็นที่นิยมมากแค่ไหนลองดูจากตัวอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณเคยสังเกตมั๊ยครับว่าปืนคู่มือของอินเดียน่าโจนส์ ที่อยู่ในซองหนังข้างเอวพระเอกแห่งยุค 1930 ผู้นี้คือปืนอะไร ใช่แล้ว สมิท โมเดล 1917นี่เองครับ (ในตอน Raiders of the lost arc และ The Temple of doom ส่วนตอน The last crusade อินดี้เปลี่ยนไปใช้ ปืนเวบเลย์ ขนาด .455)

ปืนของ Indy เป็นปืน โมเดล 1917 ที่ดัดแปลงตัดลำกล้องให้เหลือ 4 นิ้ว จากผู้ที่ศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับปืนในภาพยนต์เรื่องนี้ กล่าวว่าปืนที่ใช้ในฉากต่างๆมีสองกระบอก กระบอกที่หนึ่งที่เห็นชัดๆในตอนแรกที่ Indy จัดกระเป๋าเดินทางนั้นเป็น 1917 ขนาด .45 ACP ส่วนกระบอกที่ใช้ในฉากอื่นเป็น Hand Ejector 2nd Model ขนาด .455 Webl ในช่วงปี 1937-38 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพบราซิลก็ได้สั่ง โมเดิล 1917 จากบริษัทสมิทอีก 25,000กระบอก และในช่วงปี 1946-1949 บริษัทสมิทก็นำโครงปืนและชิ้นส่วนที่มีเหลืออยู่มาผลิตขายให้กับประชาชนทั่วไป และนั่นก็เป็นการผลิตครั้งท้ายสุดของ โมเดิล 1917

โมเดลต่างของปืน Smith & Wesson ปี1896

ในปี1896 บริษัทสมิทแอนด์เวสสันก็ได้เปิดตัวสมิทแอนด์เวสสัน แฮนด์อีเจ็คเตอร์ขนาด .32 ออกมาจากนั้นก็เอากระสุน .38 โคล์ทมาต่อความยาวสาวความยืดและเพิ่มดินปืนอีก 20เปอร์เซ็นต์ กลายเป็น กระสุน.38 สมิทแอนด์เวสสัน สเปเชี่ยล ที่เราๆท่านๆมีใช้กันทุกวันนี้ละครับ ปืนที่เปิดตัวออกมาพร้อมกระสุนขนาด.38 ในยุคแรกของแฮนด์อีเจ็คเตอร์นี้ก็คือโมเดิล 1899 ที่กลายมาเป็นโมเดล 10 มิลิทารี่แอนด์โพลิส ที่ครองใจตำรวจทั่วโลกต่อมาอีกร่วมร้อยปี
สมิทแอนด์เวสสัน แฮนด์อีเจ็คเตอร์ขนาด .32



ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ สมิธแอนด์เวสสัน

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของ สมิธแอนด์เวสสัน เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ ปี 1850 ทั่วโลกรู้จัก สมิธแอนด์เวสสัน ในฐานะผู้ผลิตปืนชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะปืนลูกโม่แบบเปิดโม่ออกด้านข้าง เหนี่ยวไกยิงได้โดยไม่ต้องง้างนก และแฟนพันธ์แท้ของสมิธฯอาจจะทราบด้วยว่า นาย โฮเรส สมิธ (Horace Smith)  กับ แดเนียล บี. เวสสัน (Daniel B.wesson)ที่เขาเป็นคู่คิดเข้าหุ้นกันก่อตั้งบริษัทในชื่อนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ 1854 นั้น เป็นคู่คิดออกแบบปืนสั้นคานเหวี่ยงรุ่นแรกที่ตั้งชื่อเหมือนภูเขาไฟว่า โวลแคนิก (Vocanic Lever-Action Pistol)  ที่ต่อมาขายทั้งแบบทั้งโรงงาน(Vocanic Firearms Co.) ให้กับโอลิเวอร์ เอฟ. วินเชสเตอร์ (Oliver F. Winchester) ไปพัฒนาเป็นปืนยาวบุกเบิกตะวันตกจนโด่งดังไปอีกทางหนึง
Horace Smith     Daniel B. Wesson




Vocanic Lever-Action Pistol